๑๑. ปโรสตวรรค
(๑๐๑) ปโรสตชาดก(คนมีปัญญาคนเดียวดีกว่าคนโง่เขลาตั้งร้อย)
ในชาดกนี้ว่าโดยเรื่องและไวยากรณ์หรือประชุมชาดก ก็เหมือนกันกับ ปโรสหัสสชาดกที่ยกขึ้นแสดงแล้ว มีแปลกแต่วาระพระบาลีเพียงคำเดียวว่า ญาเยยฺยํ เท่านั้น ซึ่งได้ยกขึ้นตั้งเป็นกระทู้แห่งเทศนาแล้ว แปลตามวาระพระบาลีอันเป็นพระคาถาพุทธภาษิตว่า ถ้าชนทั้งหลายมีจำนวน ๑๐๐ มาประชุมกันก็ตาม เมื่อผู้ไม่มีปัญญาจะใคร่ครวญไปตั้ง ๒๐๐ ปีก็ตาม ก็ไม่สามารถจะรู้เนื้อความที่บัณฑิตกล่าวไว้แล้วนั้น ส่วนบุรุษผู้มีปัญญาผู้เดียว ซึ่งรู้จักเนื้อความที่บัณฑิตกล่าวไว้แล้วนั้น จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนทั้ง ๑๐๐ นั้น ดังนี้
พระอรรถกถาจารย์สังวรรณนาการไว้ว่า คนที่ประชุมกันตั้ง ๑๐๐ ขึ้นไปก็ตาม ถ้าไม่มีปัญญาพิจารณา อยู่ตั้ง ๑๐๐ ปีก็ตาม ก็ไม่สามารถจะรู้เนื้อความแห่งกถาที่อาจารย์ผู้เป็นฤๅษีกล่าวไว้ ผู้มีปัญญาซึ่งรู้ดีนั้นแล จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐคนเดียว ดังนี้ ในชาดกนี้ ขอให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายผู้ที่ยังไม่ได้สดับ ซึ่งชาดกอันชื่อว่าปโรสหัสสชาดกนั้นจงเข้าใจว่า ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงชาดกนี้ก็โดยอาศัยปรารภพระสารีบุตรผู้รู้พุทธภาษิตอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อ ได้โดยพิสดารแล้วพระองค์จึงทรงแสดงปโรสหัสสชาดกนี้ เพื่อยกเรื่องขึ้นประกาศให้เห็นว่าพระสารีบุตรเถรเจ้า เป็นผู้ฉลาดรอบรู้ในอรรถในธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพมาแล้ว เมื่อครั้งเป็นฤๅษี มีใจความว่าในครั้งอดีต พระพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นฤๅษีสำเร็จอากิญจัญญายตนสมาบัติ ซึ่งแปลว่าสมาบัติอันไม่มีอะไรหน่อยหนึ่งเป็นอารมณ์ในเวลา ทำกาลกิริยาตายได้บอกศิษย์ทั้งหลายว่า คุณวิเศษหน่อยหนึ่งของเราไม่มี ส่วนศิษย์ทั้งหลายซึ่งมีจำนวนตั้ง ๑๐๐ พากันเข้าใจว่าอาจารย์ไม่ได้สำเร็จคุณวิเศษประการใด ส่วนพระสารีบุตรซึ่งเกิดเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ เมื่อได้ฟังคำอาจารย์ดังนั้นก็รู้ได้ว่า อาจารย์ได้สำเร็จอากิญญายตนสมาบัติ จึงบอกเพื่อนศิษย์ทั้งหลายให้ทราบ แต่เพื่อนศิษย์ทั้งหลายไม่เชื่อจนรู้ถึงอาจารย์ที่ไปเกิดเป็นพรหม อาจารย์จึงลงมารับรองว่าถูกต้อง ตามคำศิษย์ผู้ใหญ่ อันนี้เป็นใจความในปโรสหัสสชาดก ดังนี้
“คนโง่เขลามาประชุมกัน แม้ตั้งร้อยคนขึ้นไป พวกเขาไม่มี
ปัญญา พึงเพ่งดูอยู่ตั้งร้อยปี ผู้ใดรู้แจ้งเนื้อความแห่งภาษิต
นั้นเป็นบุรุษมีปัญญาคนเดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า”.
ปโรสตชาดกจบ.