สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรารภภิกษุผู้มีความโลภรูปหนึ่งให้เป็นต้นเหตุ มีเรื่องปรากฏมาว่า ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องภิกษุนั้นเป็นผู้ลุอำนาจแก่ความโลภให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้จะได้เป็นผู้ลุอำนาจแก่ความโลภแต่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นก็หาไม่ ถึงในอดีตก็เหมือนกันจึงทรงแสดงเรื่องอดีตว่า ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตผ่านสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ชาวเมืองพาราณสีมีผู้มีใจบุญ ได้พากันทำกระเช้าแขวนไว้ให้นกพิราบอาศัยในบ้านของตน ครั้งนั้น พ่อครัวของเศรษฐีคนหนึ่งได้แขวนกระเช้าไว้ในครัวของตนเหมือนกัน มีนกพิราบตัวหนึ่งไปอาศัยอยู่ในกระเช้านั้น นกพิราบตัวนั้นเวลาเช้าได้ออกจากโรงครัวไปเที่ยวแสวงหาอาหาร ครั้นถึงเวลาเย็น ก็กลับมายังที่อยู่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีกาตัวหนึ่งบินผ่านมาทางโรงครัวนั้น เมื่อได้กลิ่นเนื้อกลิ่นปลาก็ให้เกิดความโลภขึ้นมา จึงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้กินเนื้อกินปลาในโรงครัวนี้ ได้คิดหาเลห์กลอุบายอยู่ เมื่อถึงเวลาเย็นจึงเห็นนกพิราบตัวนั้นกลับมาจากหาอาหารบินเข้าไปพักสำราญอยู่ในโรงครัว กาตัวนั้นจึงคิดว่าถ้าเราจะอาศัยอยู่กับนกพิราบตัวนี้ เราจึงจะได้กินเนื้อกินปลาสมดังปรารถนา ครั้นคิดแล้วก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน รุ่งเช้าขึ้นก็รีบบินมาจับอยู่ในที่ใกล้โรงครัวนั้น พอเห็นนกพิราบบินออกจากโรงครัวก็บินตามหลังไป นกพิราบจะไปในแห่งหนตำบลใด กาตัวนั้นก็บินตามเรื่อยไปทำอาการเหมือนกับบ่าวติดตามหลังนาย นกพิราบจึงถามว่าดูก่อนกา เหตุไรเธอจึงติดตามเรามาอย่างนี้ กาจึงตอบว่า เหตุเพราะข้าพเจ้าชอบกิริยาของท่าน ข้าพเจ้าจะขอเป็นผู้รับใช้ท่านตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นกพิราบตอบว่า อาหารของท่านกับของเราต่างกัน ถ้าท่านมาเป็นผู้รับใช้เราท่านก็จะลำบากด้วยอาหาร ข้าแต่นกพิราบข้อนี้ไม่สำคัญ คือในเวลาที่ท่านไปแสวงหาอาหารข้าพเจ้าก็จักไปกับท่าน ต่างฝ่ายต่างแสวงหาอาหารตามต้องการ ดูก่อนกา ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการดี ท่านจะอยู่กับเราก็อยู่ได้ แต่อย่าเป็นผู้ประมาททำความพินาศเสื่อมเสียให้เกิดมีแก่ตนและผู้อื่น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ไปเที่ยวแสวงหาอาหารตามกำหนดของตน ส่วนกาก็ไปคุ้ยเขี่ยซึ่งมูลโคจิกกินสัตว์มีชีวิตจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็บินกลับมาหานกพิราบ ในเวลาเย็นก็บินตามนกพิราบกลับไป เมื่อนกพิราบบินเข้าไปในโรงครัวก็บินตามเข้าไปด้วย พ่อครัวเห็นว่าเป็นเพื่อนของนกพิราบ จึงจัดแจงแขวนกระเช้าไว้ให้กาในโรงครัวนั้น นับจำเดิมแต่นั้นมา นกพิราบกับกาก็อยู่ด้วยกันรวมเป็นสัตว์ ๒ ตัวในโรงครัวหลังนั้น อยู่มาวันหนึ่ง คนทั้งหลายนำเนื้อและปลาไปให้เศรษฐีเป็นอันมาก พ่อครัวได้เอาไปเก็บไว้ในโรงครัว เมื่อกาเห็นก็เกิดความโลภขึ้นมา จึงคิดว่าพรุ่งนี้เช้าเราจักไม่ไปเที่ยวแสวงหาอาหารเราจักกินเนื้อและปลาเหล่านี้ให้ได้สมประสงค์ ในเวลารุ่งเช้าขึ้น เมื่อถึงเวลาไปเที่ยวแสวงหาอาหาร นกพิราบจึงชักชวนกาตามที่เคยมาแต่กาลก่อน กาตอบว่าวันนี้ข้าพเจ้าปวดท้องไปไม่ได้ ขอท่านจงไปแต่ผู้เดียวเถิด นกพิราบถามว่าดูก่อนกาผู้เป็นสหาย ขึ้นชื่อว่าการปวดท้องย่อมไม่เคยมีปรากฏมาแก่พวกกาในยามทั้ง ๓ แห่งราตรี ธรรมดากาย่อมหิวทุก ๆ ยาม เพาะเหตุว่าอาหารที่กินเข้าไปแล้วกาย่อมอิ่มแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วก็หิวอีกเหมือนกับไส้ประทีปที่ตามเพลิงไว้ เพราะธรรมดาไส้ประทีปที่ติดเพลิงนั้น ก็ชุ่มอยู่ด้วยน้ำมันเพียงครู่เดียวเท่านั้น ชะรอยท่านต้องการกินเนื้อและปลาเหล่านี้กระมัง ท่านไปเที่ยวแสวงหาอาหารด้วยกันเถิด ขึ้นชื่อว่าอาหารเป็นเครื่องบริโภคของคนไม่ว่าแต่อย่างไดอย่างหนึ่ง ท่านไม่ควรจะกินเป็นอันขาด ท่านอย่าได้ทำอาการอย่างนี้ ท่านมาไปด้วยกันเถิด กาตอบว่า ข้าแต่นายข้าพเจ้าไปไม่ได้ นกพิราบจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ท่านทำก็จะปรากฏขึ้นเอง แต่เราขอเตือนว่าท่านอย่าลุอำนาจแก่ความโลภเลย เมื่อกล่าวดังนี้แล้วก็บินไปเที่ยวแสวงหาอาหาร เวลาพ่อครัวทำอาหารเสร็จแล้วก็ปิดภาชนะไว้หน่อยหนึ่งเพื่อให้ไอดับไป ได้เอาฝาชีครอบสำรับไว้ แล้วออกไปเช็ดเหงื่ออยู่ข้างนอก ในขณะนั้นกาได้โผล่ศีรษะขึ้นมาจากกระเช้าแลดูทั่วโรงครัว เมื่อทราบว่าพ่อครัวออกไปอยู่ข้างนอก ก็รีบบินลงไปเปิดฝาชีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างใน ด้วยคิดจะคาบเอาชิ้นเนื้อขึ้นไปกินบนกระเช้า แต่พ่อครัวได้ยินเสียงฝาชีก็รีบตรงรี่เข้าไปเปิดดู พอดีเห็นกาตัวนั้นก็เกิดความโกรธขึ้นมาทันที แล้วจึงจับถอนขนเสีย มิหนำซ้ำตำพริกปนเกลือชโลมตลอดทั่วทั้งอินทรีย์ แล้วโยนขึ้นไว้ในกระเช้า ในเวลาเย็น เมื่อนกพิราบกลับมาเห็น จึงกล่าวว่า
โย อตฺถกามสฺส หิตานุกมฺปิโน โอวชฺชมาโน น กโรติ สาสนํ
กโปตกสฺส วจนํ อกตฺวา อมิตฺตหตฺถตฺถคโตว เสตีติ
แปลว่า ผู้ที่ไม่ทำตามคำสั่งสอนของท่านที่มุ่งหวังประโยชน์ให้แก่ตน ย่อมได้รับแต่ความเศร้าโศก เหมือนกับกาอันตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู เพราะไม่เชื่อถือถ้อยคำของนกพิราบ ดังนี้ ครั้นนกพิราบกล่าวดังนี้แล้ว ก็คิดว่าเราไม่อาจจะอยู่ในที่นี้อีกต่อไป เพราะเพื่อนของเราได้ทำความเสียหายเสียแล้ว ครั้นคิดดังนี้แล้วก็บินไปอยู่เสียในที่อื่น ส่วนพ่อครัวก็ได้เอากากับทั้งกระเช้าไปทิ้งเสีย
ครั้นสมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงเรื่องอดีตดังนี้แล้ว จึงประชุมชาดกว่า กาในครั้งนั้น ได้เกิดมาเป็นภิกษุผู้ลุอำนาจแก่ความโลภนี้เอง ส่วนนกพิราบ ได้เกิดมาเป็นเราตถาคตนี้แล ดังนี้ ในชาดกนี้ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้เป็นเครื่องเตือนสติเถิดว่า ความโลภก็ไม่ดี ความดื้อดึงต่อมารดาบิดาครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่มุ่งคุณงามความดีให้แก่ตนก็ไม่ดี มีกาเป็นตัวอย่าง ฉะนี้
“ผู้ใดบุคคลกล่าวสอนอยู่ ไม่ทำตามคำสอนของผู้ปรารถนา
ประโยชน์ ผู้อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ผู้นั้นย่อม
ถึงความฉิบหาย เศร้าโศกอยู่ เหมือนกาไม่เชื่อฝังคำ
ของนกพิราบ ตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าศึก ฉะนั้น.”
กโปตกชาดกจบฺ